เมื่อสื่อให้ความสนใจติดต่อสอบถามเรื่องของศิลปินที่เป็นข่าวดังว่า เมื่อแฟนหรือคนรักมีพฤติกรรมการนอกใจกัน จะถือว่าผิดหรือไม่ ถ้าผิด … ใครคือคนผิด?

ขออนุญาติไม่ตอบคำถามชี้นำว่าใครผิดหรือใครถูก แต่จะขอยกเป็นกรณีศึกษา (case study) ที่จะเป็นประโยชน์กับคู่รักคู่อื่นๆ ที่ไม่อยากให้เกิดปัญหาการนอกใจกัน มีจุดจบไม่สวยจนต้องเลิกลากันไป

จากจุดเริ่มต้น … ที่คนสองคนรู้สึกดีต่อกัน รักกัน ตกลงเป็นแฟน เป็นคู่รักกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทำไมนับวันยิ่งรู้สึกห่างไกลกันทั้งๆ ที่อยู่ใกล้กัน จนความรู้สึกเหินห่างกันกลายเป็นความเหงารู้สึกอ้างว้างและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความใกล้ชิดกับใครคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ยิ่งปัจจุบันที่ก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลทำให้เกิดพฤติกรรมใหม่ที่เรียกว่า Micro-Cheating คือ การแอบนอกใจกันแบบขำๆ สนุกๆ ไม่ได้จริงจัง แค่หยอก แค่แหย่ แค่ทักทาย แค่ส่งคำหวานๆ แค่คอยกด Like แค่คอยส่งรูปหัวใจแบบรัวๆ แค่ส่งกำลังใจให้กัน แค่ติดตามกันทุกโพสต์ ไม่ได้คิดอะไร ยังเป็นเหมือนพี่เหมือนน้อง เป็นเหมือนเพื่อนที่ดีต่อกัน เป็นแค่อดีตแฟนเก่าที่ยังทักทายกัน ฯลฯ แค่นั้น……..จริงๆ แต่พฤติกรรมดังกล่าวทำให้เกิดการเสพติดโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นพฤติกรรมที่ทำให้รู้สึกดี ตื่นเต้น สนุก มีความสุขเวลาได้ติดต่อสื่อสารพูดคุยกัน รู้ใจกันเหมือนอยู่เคียงข้างใกล้ชิดกัน แม้ไม่ได้เจอตัวกัน แต่มันคือจุดเริ่มต้นของปัญหาที่เข้ามาทำลายความไว้วางใจและยังบั่นทอนความสัมพันธ์ สร้างความร้าวฉานและความเจ็บปวดใจ ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนสถานะจาก “คนรัก” เป็น “คนชัง” โดยไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังทำให้ใครบางคนนั้นหลงผิดและคาดหวังยอมเป็นโลกอีกใบทั้งๆ ที่ใจของใครทุกคนก็อยากเป็นโลกทั้งใบของกันและกัน

การป้องกันปัญหา คือ หยุดพฤติกรรมการแอบนอกใจ (Micro-Cheating) โดยการเปิดใจ “พูดกัน … ฟังกัน … เข้าใจกัน” ว่าคู่ของเราชอบหรือไม่ชอบอะไร ยินดีและยินยอมทั้งสองฝ่ายที่พร้อมจะปรับและเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ของคู่รักอย่างมี “คุณค่า” สร้าง “ความไว้วางใจ” กัน เป็นคู่รักที่มีความสุขและสนุกร่วมกันได้