เจาะข่าวดัง … เมื่อสื่อให้ความสนใจติดต่อสอบถามและขอสัมภาษณ์ ดร.อัญชลี แสงชาญชัย (Psychotherapist) จาก “พิชญานิน คลินิก” เรื่อง “นารีพิฆาตสงฆ์” ทำไมผู้หญิงจึงมีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์หลายรูปจนถึงขั้นต้องอาบัติ

🎯พฤติกรรมดังกล่าวถือว่าป่วยเป็นโรคจิตหรือไม่

ในมุมจิตวิเคราะห์ พฤติกรรมด้านมืดดังกล่าวเรียกว่า “ไซโคพาธ (Psychopath)“ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรค “บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม” (Antisocial Personality Disorder) เป็น “คนไร้หัวใจหรือคนอำมหิต” ที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ขาดความสำนึกผิด ด้านชาทางอารมณ์ (เย็นชา) ไร้ศีลธรรม ไม่เกรงกลัวหรือละอายต่อบาป ไม่โทษตัวเองแต่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น ไม่สามารถสร้างความผูกพันที่จริงใจ ไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์ จะมองผู้อื่นเป็น “เหยื่อ” ทำได้ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่มีศีลธรรม ไม่สนใจว่าใครจะได้รับความเดือดร้อน มีแนวโน้มที่จะก่ออาชญากรรมที่ส่งผลเสียกระทบต่อสังคม ถือเป็น “ความผิดปกติของจิตใจ” ซึ่งสามารถพบไซโคพาธในสังคมได้ เช่น ในที่ทำงานอาจมีผู้ร่วมงานบางคนที่มีพฤติกรรมชอบเสนอหน้า พร้อมจะทำทุกวิถีทางแม้แต่การเหยียบหัวเพื่อน เอาความดีเข้าตัวโยนความชั่วหรือใส่ร้ายคนอื่น เพื่อไต่เต้าให้ได้มาซึ่งตำแหน่งที่คาดหวัง, ผู้หญิงบางคนที่เห็นคู่รักที่มีความสุขไม่ได้ อยากเข้าไปแทรกแซงเป็นมือที่สาม เช่น ท้องทิพย์ เพื่อสร้างความร้าวฉานแล้วรู้สึกภูมิใจที่ได้เสพสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เป็นต้น

🎯 ทำไม … มีการล่าแต้มเฉพาะพระสงฆ์

หลายคนอาจมองว่า ผู้หญิงอาจมีสเป็คชอบผู้ชายในเครื่องแบบ ดูเท่ห์ มีเกียรติ แต่สำหรับพระสงฆ์ถือเป็น “กลุ่มเปราะบาง“ ซึ่งมีพระวินัยเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เป็นกรอบในการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง และเป็นเครื่องมือในการขัดเกลาและระงับกิเลส กรณีพระสงฆ์ที่ตกเป็นเหยื่อทำผิดพระวินัยถือเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ซึ่งต้องถอดบทเรียนเพื่อหาทางช่วยกันป้องกันภัยต่อศาสนาและสังคม

แม้ว่าผู้หญิงที่เป็นไซโคพาธมีแนวโน้มที่จะแสดงความรุนแรงและก่ออาชญากรรมน้อยกว่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนอื่นมากกว่า โดยใช้ความสัมพันธ์เป็นอาวุธ เปรียบเสมือน “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง” ใช้ทั้ง “สร้างและทำลาย” คือ จะสร้างภาพเป็นคนสวยใส จิตใจงาม ภาพลักษณ์เป็นนักบุญ (ใจบาป) หว่านเสน่ห์ ช่างเจ๊าะแจ๊ะ (เจ้าชู้) เข้าหาเหยื่อโดยจี้ปมในใจหรือจุดอ่อน (ปมด้อย) ให้เกิดความลุ่มหลง ไว้ใจ เชื่อใจ จนลืมระวังตัว ทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ จนลืมการรักษาระยะห่าง กลายเป็นความใกล้ชิดสนิทสนม พร้อมมอบใจและยอมปล่อยกายให้แนบสนิทกัน (skinship) จนเกิดการเสพติดกับความสุขจอมปลอม (Negative Happiness) เมื่อเหยื่อติดกับดัก เหยื่อก็จะยอมทำตามทุกอย่างโดยขาดสติ ไม่คิดถึงศีลธรรมหรือความผิดชอบชั่วดีเช่นกัน แต่หากเหยื่อไหวตัวทันมีสติและคิดที่จะตีตัวจากก็จะถูกมีดโกนซึ่งไม่เหลือน้ำผึ้งหวานแต่กลับกลายเป็น “ยาพิษที่อาบบนมีดโกน” ที่พร้อมจะเชือดให้ตายได้เช่นกัน จึงไม่แปลกที่พระสงฆ์ชั้นสมณศักดิ์หากขาดสติก็จะติดกับดักแล้วถอนตัวยาก กลายเป็นกลุ่ม “เป้านิ่ง” ที่หนียากกว่าผู้ชายกลุ่มอื่น ถูกแบล็คเมล์ กลายเป็น “วงจรอุบาทว์” ที่ใช้ข่มขู่เพื่อรีดทรัพย์ หมุนเงิน ฟอกเงิน ฯลฯ เพื่อนำทรัพย์สินเงินทองที่ได้ไปต่อยอดสร้างภาพความร่ำรวยไว้ล่อเหยื่อใหม่รายต่อ ๆ ไป ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมของสังคม

🎯 คนที่เป็นไซโคพาธจะก่ออาชญากรรมโดยไม่ต้องรับโทษได้หรือไม่

หลายครั้งที่คนทำผิดกฎหมายหรือก่ออาชญากรรม เมื่อถูกจับได้มักจะหาข้ออ้างว่าป่วยเป็นโรคจิต เพื่อขอลดโทษหรือหาข้ออ้างเพื่อพ้นผิด ทั้งนี้ ไซโคพาธคือความผิดปกติของจิตใจ ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการยกเว้นความผิดทางกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินคดีตามความผิด เพื่อป้องกันการก่อคดีอาชญากรรมที่เป็นภัยต่อสังคม

สรุป : ไซโคพาธ (Psychopath) เป็นความผิดปกติของพฤติกรรม ซึ่งยังไม่มียาที่ใช้ในการรักษาพฤติกรรมโดยตรง การให้ยาจะให้ในกรณีที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์ เช่น ก้าวร้าว เป็นต้น ปัจจุบันจะรักษาไซโคพาธโดยการทำจิตบำบัด ทั้งนี้ ไซโคพาธถือเป็นภาวะที่รักษาได้ยากและมักมีการพยากรณ์โรคไม่ดี เพราะไซโคพาธไม่คิดว่าตนเองป่วย จึงไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา ดังนั้น คนในสังคมจะต้องร่วมด้วยช่วยกันสังเกตพฤติกรรมคนที่เป็นไซโคพาธ ไม่ส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อสังคม และต้องมีสติ ใช้ปัญญาในการ “ป้องกัน” ตนเองไม่ให้ตกเป็น “เหยื่อ” ของความรัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ

*อ่านเพิ่มเติม : ”จิตวิเคราะห์ … นารีพิฆาตสงฆ์“ https://www.facebook.com/share/p/16KUPvL4CU/?mibextid=wwXIfr