เคยไหม ... ที่ไม่อยากตื่นหรือถ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกหมดแรง ไม่อยากลุกขึ้นไปทำงาน ???
Burnout Syndrome คือ ภาวะการหมดไฟ ที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ขึ้นทะเบียนให้การรับรองภาวะหมดไฟเป็นโรคใหม่ที่เกิดขึ้นกับผู้คนในยุคปัจจุบัน ที่เกิดจากความเครียดเรื้อรังทางอารมณ์และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในที่ทำงาน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มอาการ ดังนี้
- ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และรู้สึกหมดใจในการทำงาน (Emotional Exhaustion) มีความรู้สึกหมดแรง สูญเสียพลังงาน อ่อนล้า อ่อนเพลีย รู้สึกหมดแรงทันทีเมื่อหมดเวลาทำงาน
- ความรู้สึกแปลกแยกจากบุคคลอื่น (Depersonalization) มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ไม่มีความผูกพันกับบุคคลหรือองค์กรที่ทำงาน รู้สึกเฉยเมย เฉยชา ไร้ชีวิตชีวา เหมือนคนไร้อารมณ์
- ความนับถือตนเองต่ำ (Low Self-Esteem) รู้สึกไร้ค่า ไร้ความสามารถ และรู้สึกไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน มีความคิดลบ ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำงานให้ประสบความสำเร็จ
สาเหตุ : เกิดจากภาระงานที่ไม่ถนัด มีความซับซ้อน เป็นงานด่วน เร่งรีบตลอด มีปริมาณงานที่มากเกินไป ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ทำงานอย่างโดดเดี่ยว อยู่อย่างไร้ตัวตน ขาดคนที่เข้าใจหรือเป็นที่ปรึกษา รับผิดแต่ไม่เคยรับชอบ ไม่เคยได้รับรางวัลหรือสิ่งตอบแทนคุณความดี ทำงานเหมือนไม่มีวันหยุด
ภาวะหมดไฟ (Miller & Smith (1993) แบ่งเป็น 5 ระยะ ดังนี้
- ระยะฮันนีมูน (The honeymoon) เป็นช่วงเริ่มต้นทำงาน มีไฟ สนุกกับงาน สามารถรับแรงกดดันต่างๆได้ พยายามปรับตัวให้เข้ากับองค์กร ผู้ร่วมงาน และสภาพแวดล้อมได้
- ระยะรู้สึกตัว (The awakening) เริ่มมีคำถามว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่?” เป็นระยะที่เริ่มรู้สึกผิดหวังที่ไม่สามารถตอบสนองต่อการทำงานได้ มีความไม่สมดุลระหว่างปริมาณงาน ค่าตอบแทน และการเป็นที่ยอมรับในที่ทำงาน
- ระยะไฟตก (Brownout) เป็นระยะเริ่มต้นของภาวะหมดไฟ โดยเริ่มมีความรู้สึกเบื่อหน่าย เหนื่อยล้า มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย แปรปรวน ไม่อยากพูดคุยกับใคร
- ระยะหมดไฟเต็มที่ (Full scale of burnout) เป็นระยะที่หมดไฟในการทำงานอย่างสมบูรณ์ ท้อแท้ สิ้นหวัง รู้สึกล้มเหลว หมด passion ในการทำงาน รู้สึกอยู่ผิดที่ และหาทางออกด้วยการลาออก
- ระยะฟื้นตัว (The phoenix phenomenon) หากได้รับคำปรึกษาหรือการบำบัดเพื่อปรับวิธีคิด ปรับอารมณ์ ความรู้สึก ให้กลับมามีพลังในการทำงานต่อไปได้
การป้องกันและแก้ไข
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และ นอนหลับพักผ่อนให้เป็นเวลา
- ฝึกและพัฒนาทักษะในการทำงานอย่างมีความสุข เช่น ทักษะการบริหารเวลา (Time Management), ทักษะในการแก้ไขปัญหา (Problem Solving), ทักษะในการสื่อสาร (Effective Communication) ฯลฯ
- สร้างสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน หลีกเลี่ยงการพูดคุยกับคนที่มีความคิดในแง่ลบ (Toxic People) และปรับทัศนคติที่จะยอมรับความแตกต่างของคน เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่อาจจะไม่ตรงกัน แตกต่างได้แต่ต้องไม่แตกแยก
- การเจริญสติ และฝึกการทำสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน (Here and Now) ช่วยจัดการกับความเครียด ด้วยการปล่อยวางทางความคิด การทำจิตใจให้สบาย
แต่ถ้ายังมีความรู้สึกทุกข์ใจ ทรมานกับการใช้ชีวิต หรือมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ ควรปรึกษาจิตแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้รับการตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาอย่างทันท่วงที