ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เด็กจำนวนมากเติบโตมาพร้อมกับมือถือ แท็บเล็ต และเกมออนไลน์ ทำให้หลายครอบครัวเผชิญปัญหา “ลูกติดเกม” อย่างเลี่ยงไม่ได้ การปล่อยให้เล่นเกมโดยไม่มีขอบเขตอาจส่งผลต่อพฤติกรรม การเรียน และพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก แต่ในขณะเดียวกัน การห้ามเล่นโดยเด็ดขาดก็อาจสร้างแรงต้านหรือความขัดแย้งในครอบครัว แล้วจะมีแนวทางอย่างไรในการดูแลลูกให้เล่นเกมอย่างสมดุล โดยไม่เสียคน? มาดูคำแนะนำที่น่าเชื่อถือและนำไปใช้ได้จริงในยุคดิจิทัลนี้กัน
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า “เกม” ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป เด็กหลายคนใช้เกมเป็นพื้นที่เรียนรู้ พักผ่อน และเชื่อมโยงกับเพื่อน เกมบางประเภทสามารถฝึกการคิดวิเคราะห์ การวางแผน และการทำงานเป็นทีมได้อย่างน่าประทับใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เกม แต่อยู่ที่ “เวลา” และ “เนื้อหา” ที่เด็กเข้าถึงโดยไม่มีการควบคุม
เด็กที่ติดเกมอย่างรุนแรง อาจกำลังต้องการหลีกหนีความเครียด ความโดดเดี่ยว หรือรู้สึกไม่ได้รับความเข้าใจจากผู้ใหญ่ การสังเกตว่าทำไมลูกถึงจมอยู่กับเกมมากเกินไป จะช่วยให้เรามองเห็นปัญหาในระดับจิตใจ และสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น
ควรกำหนด “เวลาเล่นเกม” อย่างเหมาะสม เช่น วันธรรมดาไม่เกิน 1 ชั่วโมง และวันหยุดไม่เกิน 2 ชั่วโมง พร้อมกำหนด “เขตปลอดเกม” เช่น ห้องนอนหรือโต๊ะอาหาร เพื่อให้เด็กเรียนรู้การแบ่งเวลาและรู้ขอบเขต
สร้างวินัยโดยให้ลำดับกิจกรรมก่อนเล่นเกม เช่น ต้องทำการบ้าน อาบน้ำ หรือช่วยงานบ้านก่อน ถึงจะได้เล่นเกม เป็นการสอนเรื่องความรับผิดชอบ และทำให้เกมกลายเป็น “รางวัล” ไม่ใช่ “สิ่งที่ต้องได้ทันที”
หากเราลองเล่นเกมกับลูก จะทำให้เข้าใจว่าเขาสนุกตรงไหน คิดอะไร รู้จักเพื่อนในเกมของเขา และที่สำคัญคือจะได้ใช้เวลาร่วมกัน นำไปสู่ความเชื่อใจมากกว่าการใช้อำนาจห้าม
หากลูกเริ่มสนใจดนตรี กีฬา งานประดิษฐ์ หรือกิจกรรมที่สร้างสรรค์ พวกเขาจะเริ่มลดเวลาเล่นเกมโดยธรรมชาติ ควรเปิดโอกาสให้ลูกลองหลายกิจกรรม เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเขา
แม้จะเพียงแค่เดินเล่น ทำอาหาร หรือดูหนังด้วยกัน การมีกิจกรรมร่วมกันจะช่วยให้ลูกรู้สึกว่าเกมไม่ใช่ที่เดียวที่เขาได้รับความสุขหรือการยอมรับ
หากพฤติกรรมติดเกมเริ่มรุนแรงถึงขั้นรบกวนชีวิตประจำวัน เช่น ไม่ไปโรงเรียน หนีเรียน ขู่ทำร้ายตัวเองเมื่อถูกห้าม หรือมีภาวะซึมเศร้า ควรพาลูกไปพบจิตแพทย์เด็กหรือนักจิตวิทยาเพื่อรับคำปรึกษา เพราะในบางกรณี “การติดเกม” อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาทางจิตใจที่ลึกซึ้งกว่านั้น
การดูแลลูกไม่ให้ติดเกมในยุคดิจิทัล ไม่ใช่การสั่งห้ามอย่างเข้มงวด แต่คือการ “เลี้ยงอย่างมีส่วนร่วม” เข้าใจเขา เปิดใจคุย ตั้งกฎเกณฑ์ร่วมกัน และหากจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ก็ไม่ควรรอจนปัญลุกลาม เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่ให้ลูก “เลิกเล่นเกม” แต่คือการสร้างเด็กที่มีวินัย เห็นคุณค่าของตัวเอง และมีภูมิคุ้มกันทางใจในยุคเทคโนโลยีอย่างแท้จริง
ที่พิชญานิน คลินิก (คลินิกสุขภาพใจ) ยินดีให้คำปรึกษาปัญหาโรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น โรคแพนิค ปัญหาสุขภาพจิต ปัญหาความรัก และปัญหาทางจิตเวชที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บริการดูแลครอบคลุมทางจิตเวช ทุกช่วงวัยแบบครบวงจร (One Stop Services) มีการตรวจประเมินสุขภาพจิตอย่างละเอียด ตั้งแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจระบบประสาท และประเมินศักยภาพสมอง ผู้รับบริการจะได้รับความรู้ความเข้าใจในภาวะโรค และมีบทบาทในการวางแผนการรักษาร่วมกัน ทั้งในส่วนการรักษาด้วยยา และการทำจิตบำบัด ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าใจตนเองและผู้อื่น เรียนรู้ ปรับตัว สามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขอย่างยั่งยืน
พิชญานิน คลินิก คลินิกสุขภาพใจ
โทร. 063-868-9925, 02-853-3863
อีเมล pichayaninclinic@gmail.com
LINE Pichayanin Clinic
Facebook Pichayanin Clinic
Youtube Pichayanin Clinic