เวลาทำการ : วันจันทร์ - วันศุกร์ 10.00-20.00 | วันเสาร์ - วันอาทิตย์ 10.00-20.00
เวลาทำการ : วันจันทร์ - วันศุกร์ 10.00-20.00
วันเสาร์ - วันอาทิตย์ 10.00-20.00
โรควิตกกังวลมีอาการหนักถึงขั้นไหน? อันตรายหรือไม่หากไม่รักษา

โรควิตกกังวลมีอาการหนักถึงขั้นไหน? อันตรายหรือไม่หากไม่รักษา

โรควิตกกังวลส่งผลต่อชีวิตประจำวันแค่ไหน? อาการแบบใดเข้าขั้นรุนแรง และจะเกิดผลเสียอะไรหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา

ในยุคที่ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยแรงกดดันและความไม่แน่นอน โรคทางจิตเวชจึงกลายเป็นประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะโรควิตกกังวล (Anxiety Disorders) ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยที่สุดในปัจจุบัน แม้ว่าหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นเพียงความเครียดหรืออาการคิดมากเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว โรควิตกกังวลเป็นภาวะทางจิตใจที่มีความรุนแรงและซับซ้อน หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระดับรุนแรง หรือถึงขั้นกระทบการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจว่าโรควิตกกังวลสามารถแสดงอาการได้หนักถึงขั้นไหน มีความเสี่ยงหรืออันตรายอย่างไรหากไม่ได้รับการรักษา พร้อมทั้งแนะนำแนวทางดูแลตนเองและการเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี

โรควิตกกังวลคืออะไร?

โรควิตกกังวล คือ ภาวะที่บุคคลมีความกังวลมากผิดปกติ จนส่งผลกระทบต่อจิตใจ ร่างกาย และการใช้ชีวิตประจำวัน โดยความวิตกกังวลในที่นี้ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์เฉพาะเจาะจงเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หรือจากเรื่องเล็กน้อยที่คนทั่วไปอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องน่ากังวล
โรควิตกกังวลมีหลายประเภท เช่น

  1. Generalized Anxiety Disorder (GAD): วิตกกังวลทั่ว ๆ ไปโดยไม่มีเหตุเฉพาะ
  2. Panic Disorder: มีอาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน
  3. Social Anxiety Disorder: กลัวการเข้าสังคมอย่างรุนแรง
  4. Phobia: กลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนเกินเหตุ
  5. OCD และ PTSD ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลเช่นกัน

อาการของโรควิตกกังวลแบ่งออกเป็นกี่ระดับ?

ผู้ที่เป็นโรควิตกกังวลสามารถแสดงอาการได้ในหลายระดับความรุนแรง โดยอาการเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม


ระดับเบื้องต้น (Mild)

  1. รู้สึกกังวลบ่อยครั้งแต่ยังสามารถทำงานหรือเรียนได้
  2. มีอาการนอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็วในบางครั้ง
  3. รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา
  4. พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้ไม่สบายใจ


ระดับปานกลาง (Moderate)

  1. อาการวิตกกังวลเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
  2. นอนไม่หลับเรื้อรัง
  3. มีอาการปวดกล้ามเนื้อ แน่นหน้าอก หรือเวียนหัวร่วมด้วย
  4. ขาดสมาธิในงานหรือกิจวัตร
  5. เริ่มมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงสังคม


ระดับรุนแรง (Severe)

  1. มีอาการตื่นตระหนกอย่างเฉียบพลัน (Panic Attack)
  2. รู้สึกกลัวแบบไม่มีเหตุผลควบคุมไม่ได้
  3. หลีกเลี่ยงสถานที่หรือบุคคลจนชีวิตประจำวันผิดปกติ
  4. มีอาการทางกายชัดเจน เช่น หายใจถี่ ชา มือเท้าเย็น เหงื่อออกมาก
  5. เริ่มมีความคิดเชิงลบรุนแรง เช่น คิดว่าตนเองไร้ค่า หรือมีแนวโน้มคิดทำร้ายตัวเอง

หากอาการเหล่านี้ไม่ได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างถูกต้อง อาจพัฒนาเป็นภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง หรือเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเองได้ในอนาคต

โรควิตกกังวลอันตรายหรือไม่หากไม่รักษา?

คำตอบคือ ใช่ โดยเฉพาะในกรณีที่อาการอยู่ในระดับปานกลางถึงรุนแรง การละเลยหรือมองข้ามโรควิตกกังวลอาจส่งผลเสียระยะยาวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เช่น

  1. ความเครียดสะสมจนเกิดโรคทางกาย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ กระเพาะอาหารอักเสบ
  2. นำไปสู่โรคซึมเศร้า หรือภาวะจิตใจอื่น ๆ
  3. เสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์เพื่อบรรเทาความเครียด
  4. มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมจนขาดการสนับสนุนจากคนรอบข้าง
  5. ส่งผลกระทบต่อครอบครัว การงาน และคุณภาพชีวิตโดยรวม

ยิ่งปล่อยให้โรควิตกกังวลดำเนินไปนานเท่าไร โอกาสในการฟื้นฟูจิตใจก็ยิ่งลดลง ทำให้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้นในการรักษา

วิธีดูแลและรักษาโรควิตกกังวลอย่างถูกต้อง

  1. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
    การเข้ารับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา นักบำบัดเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนรักษา โรควิตกกังวลสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น
    1. จิตบำบัดแบบ CBT (Cognitive Behavioral Therapy)
    2. การใช้ยาเพื่อปรับสมดุลเคมีในสมอง
    3. การบำบัดพฤติกรรม (Behavioral Therapy)

  2. การปรับพฤติกรรมประจำวัน
    1. พักผ่อนให้เพียงพอ
    2. หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
    4. ฝึกหายใจลึก ๆ หรือฝึกสมาธิเพื่อควบคุมอารมณ์
    5. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น เช่น สื่อที่สร้างความตึงเครียด

  3. สนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน
    การมีคนรอบข้างที่เข้าใจและพร้อมรับฟังอย่างจริงใจ จะช่วยลดระดับความวิตกกังวลได้มาก ผู้ป่วยไม่ควรรู้สึกว่าต้องต่อสู้เพียงลำพัง

ใครเสี่ยงเป็นโรควิตกกังวล?

แม้ว่าใครก็สามารถเกิดโรควิตกกังวลได้ แต่กลุ่มที่มีแนวโน้มสูงคือ

  1. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางจิตเวช
  2. ผู้ที่เคยประสบเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจ
  3. บุคคลที่มีลักษณะนิสัยคิดมาก หรือควบคุมตนเองไม่ได้
  4. ผู้ที่มีภาวะเครียดเรื้อรัง เช่น ความเครียดจากงาน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน


การตระหนักรู้ความเสี่ยงและสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันโรควิตกกังวลไม่ให้พัฒนาไปสู่ระดับรุนแรง

โรควิตกกังวล ไม่ใช่แค่ “การคิดมาก” หรือ “ความเครียดทั่วไป” แต่เป็นปัญหาทางจิตใจที่สามารถลุกลามจนกระทบต่อชีวิตประจำวันได้หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการของโรคนี้สามารถพัฒนาได้จากระดับเบื้องต้นไปสู่ระดับรุนแรง และอาจนำไปสู่ภาวะจิตใจอื่น ๆ เช่น โรคซึมเศร้าหรือการคิดทำร้ายตัวเอง

ข่าวดีคือ โรควิตกกังวลสามารถรักษาได้ หากได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญและมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เหมาะสม การรับรู้ เข้าใจ และไม่ตีตราโรคนี้เป็น “ความอ่อนแอ” จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพอีกครั้ง

ที่พิชญานิน คลินิก (คลินิกสุขภาพใจ) ยินดีให้คำปรึกษาปัญหาโรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น โรคแพนิค ปัญหาสุขภาพจิต  ปัญหาความรัก และปัญหาทางจิตเวชที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บริการดูแลครอบคลุมทางจิตเวช ทุกช่วงวัยแบบครบวงจร (One Stop Services) มีการตรวจประเมินสุขภาพจิตอย่างละเอียด ตั้งแต่การซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจระบบประสาท และประเมินศักยภาพสมอง  ผู้รับบริการจะได้รับความรู้ความเข้าใจในภาวะโรค และมีบทบาทในการวางแผนการรักษาร่วมกัน ทั้งในส่วนการรักษาด้วยยา และการทำจิตบำบัด ช่วยให้ทุกคนสามารถเข้าใจตนเองและผู้อื่น เรียนรู้ ปรับตัว สามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุขอย่างยั่งยืน 

พิชญานิน คลินิก คลินิกสุขภาพใจ บริการวางแผนรักษาโรคทางจิตเวช
โทร. 063-868-9925, 02-853-3863
อีเมล pichayaninclinic@gmail.com
LINE Pichayanin Clinic
Facebook Pichayanin Clinic
Youtube Pichayanin Clinic